เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ส.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ ถ้าฟังธรรม เห็นไหม เราอยู่ที่บ้าน เราอยู่ที่บ้านมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากปกคลุมหัวใจ เราก็อยากไปวัด ไปวัดไปวาเพื่อความสะอาดปลอดโปร่งในหัวใจ เวลาไปวัด เราก็จินตนาการเลย พอไปวัดแล้วนะ วัดจะต้องร่มเย็น วัดจะต้องมีคนดูแล วัดจะต้องมีคนคอยมาเอาใจ พอไปวัด โอ้โฮ! ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย ไปวัดต้องรีบ ต้องขวนขวาย

การขวนขวาย เห็นไหม เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ถ้าน้ำเย็นๆ มันอุ่นใจ นอนใจ ตายหมด แต่น้ำร้อนนะ น้ำร้อนมันต้องขวนขวาย ต้องปากกัดตีนถีบ ต้องขวนขวาย ต้องมีการกระทำ เห็นไหม น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ในปีหนึ่งๆ พระก็อยู่กันโดยปกติ เวลาจะเข้าพรรษา พระต้องถือธุดงควัตร เพราะถือธุดงควัตรมันต้องเปลี่ยนแปลงไง มีการเปลี่ยนแปลง มีการขวนขวาย มีการกระทำเพื่อให้มันตื่นตัวตลอดเวลาไง 

ถ้าเราไม่ตื่นตัวตลอดเวลา เห็นไหม มันมี ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก เราเป็นชาวพุทธนะ ศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายอดเยี่ยมๆ ก็ยอดเยี่ยมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ศึกษามาๆ ศึกษามาก็ตีความตามความพอใจของตนไง แล้วเวลาเราคิดเอาเองเราก็จินตนาการของเราไปไง เห็นไหม ความสุขความทุกข์ในหัวใจ

ความสุขความทุกข์ในหัวใจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องของหัวใจ สอนเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใจมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันถึงมาเกิดเป็นเรา พอมาเกิดเป็นเราแล้วเราก็จะไม่ตาย เราจะอยู่ค้ำฟ้าเลย เราจะไปเกิดเราก็จะไปเกิดทั้งร่างกายนี้เลยไง

เวลาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นทิพย์สมบัติ โอปปาติกะไปอย่างนั้น แต่ไปโดยหัวใจไง ไปโดยโอปปาติกะ มันเป็นทิพย์ๆ แต่เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมากำเนิด ๔ ในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เวลาเกิดในไข่ ในครรภ์ เราเกิดมา พอเกิดมา จิตปฏิสนธิจิตมันไปเกิด พอไปเกิดขึ้นมา เกิดในไข่ ในสเปิร์มของพ่อ ปฏิสนธิจิตมันหยั่งลง แล้วมันก็ฟักตัวมาอยู่ในครรภ์ ๙ เดือนแล้วคลอดออกมา คลอดออกมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจๆ

ความสุขๆ เราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ไง แต่ถ้ามีความสุขๆ ความสุขโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความสุขโดยชนะคะคานเขา ความสุขโดยการย่ำยีคนอื่น ความสุขโดยการไปกว้านเอาทรัพย์สมบัติมาเป็นของตน อย่างนั้นมันเป็นความสุขหรือ ความสุขอย่างนั้น ความสุขไง เราบอกว่า คนเราเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แล้วความสุขอย่างนั้นความสุขเกิดจากกิเลส ความสุขเกิดจากสร้างเวรสร้างกรรม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุจริต ต้องมีศีล มีทาน มีศีล มีทาน มีภาวนา เวลามีศีล มีทานขึ้นมา คำว่า “ศีล” ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามันไม่ปกติ ต้องมีอะไรเป็นเครื่องวัด เครื่องวัดก็ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้ามีเครื่องวัดขึ้นมา มีขอบมีเขตขึ้นมา มันต้องพิสูจน์กันตรงนี้ไง ถ้าพิสูจน์กันตรงนี้ขึ้นมา มันจะเข้าพระพุทธศาสนา ถ้ามันไม่เข้าสู่พระพุทธศาสนา มันเป็นไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์อ้อนวอนขอเอา ไปหาเจ้าหาผีแล้วก็พยากรณ์เลย จะเป็นอย่างนั้นเป็นๆ บูชายันต์เลย เราจะมั่งมีศรีสุข 

มั่งมีศรีสุขมันอยู่ที่การกระทำ เห็นไหม ตอนนี้ปากกัดตีนถีบ เศรษฐกิจไม่ดี ใครๆ ก็บอกเศรษฐกิจไม่ดีทั้งนั้นน่ะ เศรษฐกิจมันตกต่ำ เวลาเศรษฐกิจตกต่ำ ถ้าเรามีน้ำใจต่อกัน มีน้ำใจต่อกันๆ โธ่! เวลามันทุกข์มันยากนะ ถ้ามีใครเห็นใจมันก็อืม! อุ่นใจหน่อยนึง เราทุกข์เรายากแล้วอยู่คนเดียวมันเครียด บีบคั้น มีแต่ความทุกข์ๆ เห็นใจมาก เวลาเราดูทางโลกๆ มีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นเลย เราเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แล้วทำไม เราก็เป็นชาวพุทธๆ เวลาทางพระพุทธศาสนาบอกทำบุญแล้วได้บุญมหาศาลๆ ทำไมเราทุกข์เรายากขนาดนี้ 

เวลาทำบุญมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ เวลาญาติข้างพ่อกับญาติข้างแม่แย่งน้ำทำนากัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้ามเลย “น้ำกับชีวิตอันไหนมีค่ากว่ากัน ถ้าเกิดสงครามขึ้นมามันทำลายกัน มันฆ่าฟันกัน แต่น้ำก็เอามาทำไร่ไถนาเพื่ออาหารนั่นน่ะ”

ห้ามถึงครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ มันด้วยเวรด้วยกรรมไง นี่ไง เศรษฐกิจตกต่ำๆ ไง ด้วยเวรด้วยกรรม ทำลายกัน ฆ่ากันเพราะอะไร ก็ฆ่ากันเพื่ออาหารไง เพื่อเอาน้ำมาทำนาไง ถ้าไม่ได้น้ำทำนา ต่อไปเราจะอยู่จะกินกันอย่างไร แล้วเราปกครองเขาใช่ไหม 

นี่ก็เหมือนกัน เศรษฐกิจมันตกต่ำๆ คำว่า “เศรษฐกิจ” ก็คือเศรษฐกิจ แต่เวลาจริงๆ แล้วคนเรามีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็ประหยัดมัธยัถส์ของเรา เราก็ทำของเรานะ เสร็จแล้วเวลาเรามีสติปัญญา ถึงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสบเรื่องอย่างนี้มาเยอะมาก ประสบ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เราเชื่อมั่น หลวงปู่ชอบไปอยู่ในป่าอดอาหาร เทวดาจะเอาอาหารทิพย์มาลูบเนื้อ ลูบร่างกายให้เลย แล้วคิดดูว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้นหรือ 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พราหมณ์นิมนต์ไว้ๆ แล้วข้าวยากหมากแพงอย่างนี้ เขาลืมใส่บาตรด้วย แต่บังเอิญ ก็บุญนั่นแหละ พ่อค้าโคต่างเขาเลี้ยงม้ามา เขาเอาม้ามาขายข้ามแดน แล้วถึงเวลาหน้าฝนเขาก็มากั้นคอกม้าไว้นั่น เขาก็จะมีของเขามาเพื่อเลี้ยงม้าคือข้าวกล้อง เขาเอาข้าวกล้องไว้เลี้ยงม้า เวลาพระมา เขาก็ใส่บาตรด้วยข้าวกล้องไป

ภิกษุทำให้อาหารสุกไม่ได้ ภิกษุห้ามทำอาหารให้สุก อาหาร ภิกษุทำสิ่งใดไม่ได้ พระอานนท์เอาข้าวมาแล้วเอาเครื่องบด บดให้เป็นผง เอาน้ำพรม ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะทนไม่ไหว ข้าพเจ้าจะเหาะเอาพระไปบิณฑบาตทวีปนู้นๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ยอมทั้งนั้น ไม่ยอมทั้งนั้น ออกพรรษาแล้ว พวกเธอชนะ ชนะอะไร ชนะหัวใจของตนไง นี่ไง เวลาประสบการณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเป็นศาสดานะ มีฤทธิ์มีเดช เพราะพระโมคคัลลานะจะพาพระเหาะไปคนละทวีปเลยอย่างนั้น

ดูสิ เวลาในปัจจุบันนี้เวลาซีกโลกหนึ่งฝนตกหนัก ซีกโลกหนึ่งแล้งมาก ซีกโลกหนึ่งๆ เวลาโลกมันเป็นอย่างนั้นน่ะ พระโมคคัลลานะจะจับไปเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุญาตๆ ไม่อนุญาตนะ แล้วพอออกพรรษาแล้ว เธอชนะแล้ว ชนะความทุกข์ความยากอันนั้น ชนะหัวใจของตนไง พอชนะหัวใจของตน คนเรามันมีถึงคราวเวรคราวกรรมนะ 

นี่ก็เหมือนกัน เศรษฐกิจมันตกต่ำๆ เราทุกข์เรายากกันทั้งนั้นน่ะ เราทุกข์เรายาก เราก็รู้จักประหยัดมัธยัถส์ เราก็ช่วยเหลือเจือจานกัน เรามีน้ำใจต่อกัน ถ้ามีน้ำใจต่อกัน เห็นไหม แผ่นดินธรรม แผ่นดินธรรมมันอบอุ่นไปหมด ถ้าแผ่นดินทอง แผ่นดินทองแข่งขันกันทางโลก เราจะบอกว่า คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ เราอยู่ เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ เราไม่ได้อยู่คนเดียวในประเทศนี้ เราไม่ได้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ประเทศของเรามันก็ต้องอยู่กับโลกใช่ไหม 

เราเกิดมามีพ่อมีแม่ในบ้านของเรา พี่น้องเรา ครอบครัวของเรา ให้มีความอบอุ่น ให้มีความสุข ให้มีความอบอุ่น มีความเข้าใจกัน มันจะขัดใจกันบ้างมันธรรมดา ลิ้นกับฟัน ลิ้นกับฟันอยู่ในปากมันยังขบกันเลย แล้วคนมันจะไม่มีการบาดหมาง ไม่มีการกระทบกระเทือนกันมันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรเนาะ ให้อภัยต่อเขา เขาอาจคิดไม่ถึงก็ได้นึกไม่ได้ เราให้อภัยต่อเขา ให้อภัยต่อเขาแล้วเราก็มาทำความดีของเรา เราไม่ใช่ไปตามเขา ใครกระทบกระเทือนแล้วไปกับเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูด ถ้าใครโกรธเราแล้วเราโกรธตอบ เราโง่กว่าเขา เวลาคนโกรธเรา คนที่ทำลายเรา ด้วยความอิจฉาตาร้อน ด้วยการกระทำของเขาเป็นเวรเป็นกรรมทั้งนั้น แล้วเรา เราต้องโต้ตอบด้วยเวรด้วยกรรมอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าเราไม่โต้ตอบเขาด้วยเวรด้วยกรรมอย่างนั้น ถ้าจะไม่โต้ตอบเขาด้วยเวรด้วยกรรมต้องมีสติปัญญาสูงมากนะ คนที่มีสติปัญญา มันสิทธิตามกฎหมาย ป้องกันตัว สิทธิตามกฎหมาย เขาจะทำร้ายเรา เราทำเขาก่อน มันเป็นคดีไหม เป็น แต่มันมีสิทธิการป้องกันตัวใช่ไหม 

นี่ก็เหมือนกัน เขาจะทำร้ายเราๆ สิทธิของเราๆ แต่เราไม่สร้างเวรสร้างกรรมหรอก เราไม่ตบมือสองข้าง ถ้าทำอย่างนี้ได้ มันต้องฝึกหัดนานนะ ต้องทำได้มาก พอทำได้มากขึ้นมาแล้ว มันเห็นแล้วมันขำๆ นะ เห็นขำๆ เห็นกันมาเหมือนยักษ์เหมือนเปรตเลย แล้วเรามีสติมีปัญญาเท่าทันของเรา เราให้อภัยเขา นี่ไง แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร แพ้เป็นพระๆ บอกแพ้เป็นพระต้องให้เขาหมดเลย อะไรก็ต้องยกให้หมดเลย แพ้เป็นพระ มีอะไรขนไปให้เขา...ไม่ใช่ แพ้เป็นพระคือผู้ประเสริฐในใจ มันแพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร เป็นมารมันต้องทำลายเขาทั้งนั้น 

นี่พูดถึงเราอยู่ในสังคมไง เราอยู่ด้วยตัวคนเดียวเราไม่ได้ ถ้าเราอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ มันต้องฝึกหัดใช่ไหม แต่การฝึกหัดมันก็ต้องมีตั้งแต่อนุบาลขึ้นมาใช่ไหม การฝึกหัด เรามาวัดมาวา มาเสียสละของเรา ได้ฟังธรรมๆ

ไปวัดไปวา วัด ทำไมไม่เหมือนวัด พระ ทำไมไม่เหมือนพระ

อ้าว! พระมันไม่เหมือนพระหรอก เพราะพระที่เขาเหมือนพระ พระที่เขาตั้งใจที่เสียสละ ตั้งใจที่ประพฤติปฏิบัติพ้นจากทุกข์ แล้วก็พระที่เขาบวชมา บวชมาโดยที่ว่าเขาอยากจะศึกษา เขาอยากจะมีความรู้ เขาอยากจะมากว้านเอาความรู้ของเขา นั่นคือปริยัติ

เวลาปฏิบัติ พระปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วเวลาพระไม่เหมือนพระ พระปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เวลามหาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันก็ต้องตั้งใจปฏิบัติทั้งนั้น เวลาปฏิบัติทั้งนั้นน่ะ เวลาไปอยู่กับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น บางทีก็ยังออกมา ออกมาเพราะอะไร ออกมาเพราะทำแล้วมันไม่ได้ผลไง เวลาพระไม่เหมือนพระเพราะพระยังไม่มีคุณธรรม พระยังปฏิบัติขึ้นมาไม่ได้ไง

ถ้าพระปฏิบัติขึ้นมาได้ มันเป็นในหัวใจอันนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดในหัวใจ นี่ไง ที่บอกว่า ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องใจ แล้วความสุขของเรา ความสุขโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความสุขโดยที่เราไปสร้างเวรสร้างกรรม กับความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ความสุขจากการหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกออกโธ ความสุขมาจากการภาวนาของเรา ความสุขจากใจที่มันเป็นอิสระ ความสุขที่ใจมันเป็นตัวมันเอง อันนี้! อันนี้! คุณค่ามันอยู่ตรงนี้ 

สิ่งที่เราทำมาๆ ธรรมดาน่ะ ใช่นะ คนเราเกิดมาต้องทำหน้าที่การงานทั้งนั้นน่ะ ทรัพยากรมนุษย์สำคัญมาก ประเทศชาติที่เจริญแล้วนะ คนของเขาฉลาด รัฐบาลเขาต้องพยายามฝึก เขาต้องส่งเสริมการศึกษา พอศึกษา ให้คนมีความรู้ เพราะคนมีความรู้ เขาจะได้ประกอบสัมมาอาชีวะของเขาได้ แล้วประเทศชาติ คนที่มีความรู้คุยกันมันจะเข้าใจกัน นี่ไง ทรัพยากรมนุษย์สำคัญมาก แต่เวลาศึกษามาๆ คนดีกับคนฉลาด คนฉลาดถ้ามันดีด้วย โอ้โฮ! สุดยอด แต่คนฉลาด คนฉลาดถ้ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คนฉลาดทำลายกันมาก 

หลวงตาท่านพูดบ่อย สัตว์มันทำลายกันด้วยเขี้ยวด้วยเล็บนะ สัตว์มันสู้กันด้วยเขี้ยวด้วยเล็บ มนุษย์สู้กันด้วยสมอง หมดเนื้อหมดตัว มันโกงหมดเลย แต่ของเรา เวรระงับด้วยการไม่จองเวร เรามีสติมีปัญญาของเรา ทรัพยากรมนุษย์สำคัญมาก แล้วทรัพยากรมนุษย์ เราก็เป็นคนหนึ่ง เป็นมนุษย์นั้น ถ้าราป็นมนุษย์นั้น เราต้องมีสติมีปัญญา ฝึกหัดของเรา อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจ ทุกคนจะเห็นว่า ทำไมเขาทำได้ๆ

อันนั้นมันเปรต เราอยากเป็นเปรตหรือ เราไม่ต้องการเป็นเปรต แล้วพอเขาทำ ทำไมทำได้ๆ เวลาสิ่งไม่ดี แหม! เอามาอ้างตลอดนะ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ทำไมไม่อ้างบ้างล่ะ ท่านเสียสละหมดเลย

ไปวัดไปวา ผู้ที่มาบวชแล้วสึกไป เราบอกนะ เวลาสึกไป เราบอกเลยนะ ถ้าเอ็งสึกไป เอ็งใช้ชีวิตแบบพระ เอ็งรวยมากเลย กินข้าววันละหน ประหยัดมาก เงินเหลือเต็มเลย เวลามาบวชเป็นพระนี่กินข้าววันละหนได้นะ พอสึกไปสามมื้อสี่มื้อ แล้วยังไปกับเขาอีก

ไปวัดไปวาดูตรงนี้ ดูตรงรู้จักประหยัดมัธยัถส์ เวลาครูบาอาจารย์เรา ผ้า ๓ ผืน ทำไมอยู่ได้ บริขาร ๘ ไม่มีอะไรเลย ทำไมอยู่ได้ แล้วเราทำไมต้องมาเร่าร้อนขนาดนั้น ทำไมเราทุกข์ขนาดนี้ ทำไมเราจะต้องชีวิตต้องมั่นคงขนาดนั้น

ถ้ามั่นคงมันก็ดีใช่ไหม แต่ถ้ามันอย่างที่ว่าเศรษฐกิจมันไม่ดีต่างๆ เราก็พออยู่ได้ เราพออยู่ได้ เดี๋ยวมันดีขึ้นมา ถ้าเดี๋ยวมันดีขึ้นมานะ ระดับน้ำ เวลาฝนมันตก มันสะสม น้ำท่วม เวลาภัยแล้งมันก็แล้งไปหมด นี่พูดถึงทางโลกนะ แต่ถ้าคนมีปัญญา ในวิกฤตินั้นจะมีโอกาส ในการกระทำนั้น นั่นคนที่มีปัญญานะ ถ้าคนมีปัญญาเขาก็เป็นปัญญาของเขา ที่เขาทำธุรกิจของเขา เขามีความเจริญรุ่งเรืองของเขา ไอ้นั้นก็เป็นเวรเป็นกรรม คำว่า “เป็นเวรเป็นกรรม” คือโอกาส

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมเป็นอจินไตย กรรมเป็นอจินไตยคือเราทำสิ่งใดมาๆ ถ้าคนมีสติปัญญา เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาหลวงตาท่านพูด ไม่ต้องไปแข่งขันกันหรอก ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา ของของท่านทั้งนั้นน่ะ ดูสิ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นน่ะอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาเรามาแล้ว

เขาทำของเขามา เขาปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขาวของเขา แล้วเขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาสร้างบุญกุศลของเขามา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็เกิดมาเป็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาเข้ามาก็สมบัติของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ใครทำคุณงาความดีมา ใครสร้างสมมา มันของเขาทั้งนั้นน่ะ ถ้าของเขาเป็นของเขา ถ้าไม่ใช่ของเขา มันมาขนาดไหนมันก็หลุดไม้หลุดมือมันไป ถ้ามันเป็นของเขานะ นี่ของเขา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คือการกระทำ กรรมมันมีมาไง นั่นกรรมอดีตนะ กรรมอดีตที่สร้างสมมามันเป็นพันธุกรรม พันธุกรรม หมายความว่า มันมีจุดยืนของมัน มันมีความเข้มแข็งของมัน มันมีปัญญาของมัน

เวลากรรมมันให้ผลนะ ปัญญามันทึบ ปัญญาสิ่งใดเกิดมา จิตดวงเดียวนั่นแหละ ฉะนั้น เวลาเขาทำของเขามา เพราะมันมีสิ่งนั้นมา กรรมที่อดีตมามันจะเกิดเป็นจริตนิสัย เกิดมาเป็นทัศนคติ แล้วพ่อแม่ก็พยายามโอ๋ตอนนี้ จะแก้ให้มันดีหมดเลย ใครเกิดมานี่ต้องให้เป็นนักปราชญ์หมด

เราก็แก้ ในเมื่อการเกิดมามันเป็นสายบุญสายกรรม ถ้าสายบุญสายกรรม เราก็ทำคุณงามความดี ทรัพยากรมนุษย์ๆ ไง โลกเขาแข่งขันกัน เราก็ไปดูนะ ที่นั่นเจริญ ที่นี่เจริญ เจริญจากใคร มนุษย์ทำทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลามาประพฤติปฏิบัติ ใครทำ ก็มนุษย์ทั้งนั้นน่ะ เพราะมนุษย์มีสติมีปัญญา เพราะมนุษย์มีกายกับใจ คนตายแล้ว เวลาจิตใจมันออกจากร่างไปแล้วนั่นซากศพ ซากศพจะมั่งมีศรีสุข สูงต่ำขนาดไหน เผาทั้งนั้น ต้องฝังทั้งนั้น แต่ของเรา ขณะที่มันมีอยู่ ถ้ามีสติปัญญา มีสติปัญญา เราขวนขวายอย่างนี้ มันเป็นบุญอันละเอียดไง 

คำว่า “ละเอียด” เห็นไหม การภาวนา ดูสิ เวลาเขามาหาพระ “โอ๋ย! พระไม่ทำอะไรเลย วันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย”

เดินจงกรม นั่งสมาธิทั้งวันมึงทำได้ไหม ไอ้เราทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ โอ้โฮ! ว่าทุกข์ว่ายากทั้งนั้นน่ะ ให้นั่งเฉยๆ ไม่ได้หรอก

มีโยมไปหาหลวงปู่ฝั้นไง หลวงปู่ฝั้นบอกให้นั่งนิ่งๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันทำไม่ได้ เวลาเหนื่อยยากก็บอกว่าทุกข์ เวลานั่งเฉยๆ ก็ทำไม่ได้

นี่ไง ถ้านั่งเฉยๆ มันทำได้มันต้องมีสติปัญญา มันต้องฉลาด คนฉลาดเอาใจไว้ในอำนาจของตน ถ้าเอาใจไว้ในอำนาจของตน บวชเป็นพระมาปฏิบัติในวัด อย่าให้ใจออกไปนอกวัด ไอ้นี่ตัวอยู่วัด ใจอยู่บ้าน ตัวมาอยู่วัด ใจไปอยู่ข้างนอก

ถ้าตัวอยู่วัด ใจอยู่กับเรานะ เราพุทโธเฉยๆ พุทโธดีๆ พุทโธดีๆ ถ้ามันสงบเข้ามาๆ มันมีกำลัง มันมีความมหัศจรรย์ สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด ลองคิดรอบโลกเดี๋ยวนี้สิ ๓ รอบ นั่งอยู่นี่ได้ ๔-๕ รอบ สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดคือหัวใจนี้ ความคิดนี่ผลัวะ ผลัวะไปแล้ว แล้วเรารั้งไว้ มันจะไป ยั้งกันๆ

เวลาคนที่ปฏิบัติจะพูดบ่อย โอ้โฮ! ความคิดมันเร็วมากๆ แต่สติเร็วกว่าความคิด มีสติยับยั้งได้หมด สตินี่ฝึกหัดไว้ๆ แล้วฝึกหัดไว้ ถ้ามีสติปั๊บ เดี๋ยวไปทำธุรกิจ เดี๋ยวเราไปทำหน้าที่การงาน เพราะด้วยสติสมบูรณ์ งานจะเสียไหม งานจะดีขึ้นไหม มันจะดีขึ้น ดีขึ้นเพราะหัวใจเราไง หัวใจที่เราฝึกฝนดีแล้วไง หัวใจที่ฝึกฝนแล้วไปทำสิ่งใดมันก็ปลอดโปร่ง มันก็ราบรื่นไง

หัวใจที่มันอัดอั้นตันใจ หัวใจที่มันมีแต่ความทุกข์ ออกไปทำสิ่งใด มันมีสิ่งใดประสบความสำเร็จบ้าง มีแต่ผิดๆ พลาดๆ ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันทำที่นี่ไง นี่ทรัพยากรมนุษย์ไง ถ้าทรัพยากรมนุษย์ที่นี่ไง

ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในบรรดาสัตว์สองเท้านะ แล้วเราก็สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์นี่แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่สร้างมาๆ มันทำสิ่งนั้นมา แล้วเวลามันเป็นจริงขึ้นมา เราจะมหัศจรรย์ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย

สัจธรรมๆ ที่มหัศจรรย์ๆ เป็นสมาธิก็มหัศจรรย์แล้ว มหัศจรรย์ ทำอะไรไม่เป็น พอมหัศจรรย์ขึ้นมาต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้ คอยแนะ คอยบอก เวลาเราบอกขึ้นไปแล้ว พอเป็นขึ้นไปแล้ว สาธุ สาธุเลย แต่ถ้ายังไม่ได้ มันเถียงนะ นี่สิ่งที่รู้ไง รู้มาหมดทั้งนั้นน่ะ ความเห็นนั้นจริงไหม จริง เพราะเห็นจริงๆ นั่นแหละ แต่เห็นโดยอุปาทาน เห็นโดยความด้อยวุฒิภาวะ เห็นโดยที่ว่าเราสติยังไม่สมบูรณ์ แต่คนที่สมบูรณ์แล้วมันจะมีขั้นตอนของมันขึ้นมาอย่างนั้นน่ะ มันพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เวลาพิจารณาไปๆ มันมหัศจรรย์ขนาดนั้น ถึงภาวนามยปัญญา ปัญญาแก้ไขกิเลส กิเลสมันเป็นอย่างไร กิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันทำให้มันทุกข์มันยากอยู่นี่ หามันไม่เจอ พอจิตสงบไปเห็น โอ้โฮ! โอ้โฮ! เลยนะ เห็นไหม มันฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้นไง 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติแล้วท่านบอกว่า ทำไมเราโง่นัก ทำไมเราโง่นัก ของอยู่กับตัวแท้ๆ ไม่รู้จัก ของอยู่กับเราแท้ๆ เงินทองอยู่กับเรา ใช้มันเป็น จ่ายอย่างเดียว เวลาใจของตนหามันไม่เจอ แล้วปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นมา หาไม่ได้ เวลามันหาได้ขึ้นมา มหัศจรรย์ นี่พระพุทธศาสนา 

เวลาพูดกันไปนะ มันก็เอาสีข้างเข้าถู ไอ้คนตะบี้ตะบันก็ตะบี้ตะบันพูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมา จิตสงบ เป็นจริงขึ้นมา ปัญญาสมบูรณ์ ไม่ใช่เหม่อลอย ปัญญาอ่อนด้อย ให้คนนู่นชักนำ คนนี้ชักนำ 

เวลาเราพูดบ่อย หลวงพ่อต้องการอะไร ต้องการให้มนุษย์เอาความรู้สึก เอาหัวใจไว้ในอกของเราเอง ให้เป็นอิสระ อย่าเป็นเหยื่อของใคร กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อแม้แต่เราพูด ฟังแล้วเอาไปคิดพิจารณา อย่าเชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสามพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยศรัทธาใหม่ ศรัทธาใหม่ต้องมีศรัทธาก่อน ศรัทธาไปเห็นสถานที่มันก็น่าปลื้มใจ ศรัทธาไปเห็นชุมชน โอ้โฮ! สุดยอดๆ นั่นคือศรัทธา พอศรัทธาเข้ามาแล้ว พอไปแล้วไม่ได้ดั่งใจ ชักไม่พอใจแล้ว นั่นน่ะ แล้วค่อยใช้ปัญญา นั่นน่ะกาลามสูตร ไปเริ่มตรงนั้น แต่มันต้องมีศรัทธาชักนำเข้ามาก่อน

ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อเลย ไม่มีศรัทธาก็ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มีความเชื่อมั่นก็ไม่มีสำนึกของตน คนไม่รู้จักตัวเราเอง คนไม่มีสามัญสำนึกความเป็นคน มันเป็นคนได้ไหม คนมีความสำนึกความเป็นคน นั่นน่ะมีศรัทธา ความสำนึกในตน ความสำนึกตัวเรา แล้วความสำนึกอันนั้นเข้ามาศึกษา พอศึกษาแล้ว เออ! พิสูจน์กัน อย่าเชื่อแล้วพยายามพิสูจน์ขึ้นมา ถ้ามันเป็นขึ้นมามหัศจรรย์ขนาดนั้น 

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในอาณัติของใครทั้งสิ้น ให้เป็นอิสระไง ให้เป็นอิสระ ไม่มีใครเป็นใต้อาณัติของใคร มีความเสมอภาค แล้วปฏิบัติไปนะ เวลาทำกิจกรรมขึ้นมามันถึงมีสังฆะถึงสงฆ์ ถ้าเป็นสงฆ์ เป็นฉันทามติต้องความเห็นพร้อมกัน เวลาไปพิจารณาไปเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มรรคสามัคคีมันยิ่งกว่านี้หลายร้อยเท่า มันมหัศจรรย์ในหัวใจนั้นน่ะ แล้วมันเป็นขึ้นมาจริงแล้วมันเป็นจริงในใจนั้น นี่พระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงกราบธรรม 

แล้วเราก็แสวงหากันอยู่นี่ เราแสวงหาธรรม เวลาแสวงหา แสวงหาอย่างไร แสวงหาแล้วไปเจอ ไปเจอกลางหัวใจ เวลาแสวงหา ธุดงค์ไปทั่วประเทศ เวลาเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงกลางหัวอก มหัศจรรย์ๆ พอมันสิ้นสุดกันที่นี่นะ จบ ไม่ไปอีกแล้ว ไม่มีหน้าและมีหลัง ไม่มีไปข้างหน้าและไม่มีข้างหลัง มันไม่ไปของมันอีกแล้ว นั่นน่ะอยู่ที่กลางหัวใจของเรา เอวัง